วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

เอนไซม์

เอนไซม์
       เอนไซม์ (enzyme) คือ สารเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีในเซลล์ หรือ ไบโอคะตะลิสต์ (biocatalyst) มีผลทำ ให้ปฏิกิริยาชีวเคมีเกิดขึ้นรวดเร็ว
โครงสร้างเอนไซม์
       เอนไซม์เป็นโปรตีน อาจเป็นพอลิเพปไทด์สายเดียวหรือหลายสาย ซึ่งม้วนตัวเป็นทรงกลม เนื่องจากมีการจับกันระหว่างกลุ่มข้างของกรดอะมิโน และมีกลุ่มข้างบางกลุ่มเรียงตัวเป็นช่องหรือร่องที่มีลักษณะพิเศษ ทำหน้าที่เป็นบริเวณเร่งหรือแอกทีฟไซด์ (active site) ของเอนไซม์ ซึ่งจะจับกับโมเลกุลเฉพาะที่เข้ากันได้ และเกิดการเร่งปฏิกิริยาขึ้นซึ่งเป็น ความจำเพาะของเอนไซม์ต่อปฏิกิริยา และในปี พ.ศ. 2437 อีมิล ฟิเชอร์ (Emil Fischer) อธิบายความจำ เพาะของเอนไซม์โดยเปรียบเทียบกับแบบจำ ลองแม่กุญแจกับลูกกุญแจ (lock and key model) เอนไซม์เปรียบเป็นลูกกุญแจและสารตั้งต้นเป็นแม่กุญแจ
    เอนไซม์สามารถทำงานเร่งปฏิกิริยาเคมีได้ภายใต้สภาพอุณหภูมิ และความเป็นกรด-เบส (pH) ในระดับปานกลางของเซลล์ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ความเป็นกรด – เบส ปริมาณสารเคมีบางชนิดที่มีผลทำ ให้โปรตีนเปลี่ยนแปลงรูปร่างไป จะมีผลต่อการทำ งานของเอนไซม์
ผลของอุณหภูมิ
-เอนไซม์สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ ช่วงอุณหภูมิเหมาะสมต่อการทำงานประมาณ 25–40OC แต่ที่ 45OCขึ้นไป เอนไซม์ซึ่งเป็นโปรตีนจะเสื่อมสภาพและเปลี่ยนรูปร่าง (denature) กล่าวคือ โมเลกุลเอนไซม์ที่ได้รับความร้อนจะคลายตัวเหยียดออก และแอกทีฟไซด์เปลี่ยน รูปร่างไป และทำงานไม่ได้
** เอนไซม์ของสาหร่ายสีเขียวแกมนํ้าเงินที่อาศัยอยู่ได้ในนํ้าพุร้อน สามารถทนอุณหภูมิสูงถึง 90OC และทำ งานได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิ 72OC **
ผลของความเป็นกรด-เบส (pH)
- เอนไซม์ส่วนใหญ่ทำงานได้ดีที่  pH ประมาณ 7 ถ้า pH เปลี่ยนแปลงไปมากๆ เอนไซม์ก็จะเปลี่ยนสภาพ (denature) ไปได้
- เอนไซม์เร่งปฏิกิริยาย่อยอาหารบางชนิด เช่น เพปซิน เร่งปฏิกิริยาย่อยโปรตีนได้ดีที่ pH 1.5 – 2.5, ทริปซินที่ pH 7.5 – 8.5 เป็นต้น
ผลของความเข้มข้นของสารตั้งต้นและเอนไซม์
- เมื่อกำหนดให้อุณหภูมิ, pH, ปริมาณเอนไซม์คงที่ เมื่อเพิ่มปริมาณสารตั้งต้น กล่าวคือ การเพิ่มเอนไซม์ในระยะแรกจะทำ ให้อัตราเร็วของปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเอนไซม์มากเกินพอ ความเร็วของปฏิกิริยาจะไม่เพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้เพราะไม่มีสารตั้งต้นเหลือพอที่จะเข้าทำ ปฏิกิริยา
กลไกการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ อธิบายได้ว่า
- โมเลกุลเอนไซม์ (E) จับชั่วคราวกับโมเลกุลสารตั้งต้น (S) เกิดสารประกอบเชิงซ้อน (enzyme-substrate complex หรือ ES)
- ในโครงสร้างของสาร ES โมเลกุลสารตั้งต้นอยู่ในสภาพดึงตึงหรือบิดเบี้ยว ซึ่งเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นผลิตภัณฑ์ (P) ได้ง่าย ดังนั้น สาร ES ต้องการพลังงานกระตุ้นในการเปลี่ยนแปลงเป็นสาร P ตํ่ากว่าที่สาร S ต้องการมาก
- สาร ES เปลี่ยนแปลงเป็นสาร P ได้รวดเร็ว พร้อมกับปล่อยโมเลกุลเอนไซม์เป็นอิสระในสภาพเดิม เอนไซม์สามารถจับกับสารตั้งต้นโมเลกุลใหม่เร่งปฏิกิริยาได้อีก
- ปฏิกิริยาที่มีเอนไซม์เป็นตัวเร่ง นอกจากเปลี่ยนแปลงจากสาร S → P แล้ว เอนไซม์ยังสามารถเร่งปฏิกิริยาย้อนกลับ จากสาร S → P ได้ด้วย ดังนั้นปฏิกิริยาที่มีเอนไซม์เป็นตัวเร่งจึงเขียนเป็นสมการที่มีหัวลูกศรทั้งไปและกลับได้ดังนี้
S + E -->  ES --> P + E
ตัวยับยั้งและตัวเร่งเอนไซม์
สารบางชนิดมีผลต่อการทำงานโดยสารที่ทำให้เอนไซม์ทำงานลดลง เรียกว่า ตัวยับยั้ง (inhibitor) สารที่ทำ ให้เอนไซม์ทำงานเพิ่มขึ้นเรียกว่า ตัวเร่ง (activator)
การยับยั้งแบบแก่งแย่ง
ตัวยับยั้งแบบแก่งแย่ง (Competitive inhibitor) มีโครงสร้างคล้ายสารตั้งต้น แย่งที่จับกับเอนไซม์ที่แอกทีฟไซต์ ทำให้สารตั้งต้นเอนไซม์ได้ลดลง ปฏิกิริยาจึงลดลงหรือหยุดชะงักไป
การยับยั้งแบบแอลโลสเตอริก
ตัวยับยั้งแบบแอลโลสเตอริก (allosteric inhibitor) ไม่ได้มีโครงสร้างเหมือนสารตั้งต้นและไม่ได้จับกับเอนไซม์ที่แอกทีฟไซด์ แต่จับเอนไซม์ที่แอลโลสเตอริกไซด์ (allosteric site) ที่มีอยู่ในเอนไซม์ บางชนิด (allosteric enzyme) ซึ่งมีผลให้เอนไซม์มีรูปร่างเปลี่ยนไปและทำงานได้ลดลง กรณีที่มีสารมาจับที่แอลโลสเตอริกไซด์ แล้วมีผลทำ ให้เอนไซม์นั้นทำ งานได้ดีขึ้น เรียกสารที่มาจับว่า ตัวเร่งแบบแอลโลสเตอริก (allosteric activator)


กรดนิวคลีอิก

กรดนิวคลีอิก
       กรดนิวคลีอิก (Nucleic acid) เป็นสารชีวโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่  ทำหน้าที่เก็บและถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นต่อไป กรดนิวคลีอิกมี 2 ชนิดคือ DNA (Deoxyribonucleic acid)http://www.youtube.com/watch?v=4gHLpqVAS3s และ RNA (Ribonucleic acid) โมเลกุลของกรดนิวคลีอิก ประกอบด้วยหน่วยย่อยที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (Nucleotide) โมเลกุลของนิวคลีโอไทด์ประกอบด้วย หมู่ฟอสเฟต น้ำตาลที่มีคาร์บอน 5 อะตอม (Ribose sugar) และเบสที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ นิวคลีโอไทด์มีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด แตกต่างกันตาม ส่วนประกอบที่เป็นเบส
DNA ประกอบด้วยพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย เรียงตัวสลับทิศทางกันและมีส่วนของเบสเชื่อมต่อกันด้วยพันธะไฮโดรเจนhttp://www.youtube.com/watch?v=4gHLpqVAS3sโมเลกุล บิดเป็นเกลียวคล้ายบันไดเวียน
RNA เป็นพอลินิวคลีโอไทด์เพียงสายเดียว DNA และ RNA มีน้ำตาลที่เป็นองค์ประกอบแตกต่างกัน โดยน้ำตาลที่เป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของ DNA คือ น้ำตาลดีออกซีไรโบส (Deoxyribose sugar) ส่วนใน RNA คือ น้ำตาลไรโบส (Ribose sugar)
ภาพแสดงโครงสร้างของน้ำตาลที่พบในกรดนิวคลีอิกแต่ละชนิด
ภาพแสดงโครงสร้างของกรดนิวคลอีกทั้งสองชนิด
 อนุพันธ์ของนิวคลีโอไทด์
ATP (Adenosine triphosphate) เป็นสารอนุพันธ์ของ Nucleotide มีพันธะพลังงานสูงในโมเลกุล 2 พันธะ (ลูกศรชี้) ซึ่งเมื่อ Hydrolysis แต่ละพันธะจะทำให้ Phosphate หลุดออกมาทีละหมู่พร้อมกับปลดปล่อยพลังงานออกมา 7.3 kcal/mol กลายเป็น ADP (Adenosine diphosphate), AMP (Adenosine monophosphate) ตามลำดับ

ไขมัน

ไขมัน
ไขมันเป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วยธาตุ 3 ชนิด ได้แก่ คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) เช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรต แต่อัตราส่วนของไฮโดรเจน (H) ต่อออกซิเจน (O) ไม่เท่ากับ 2 : 1 ไขมันมีหลายชนิด เช่น ไขมัน (Fat) น้ำมัน (Oil) 
ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid)
 ไข (Wax) และสเตรอยด์ (Steroid) โดยทั่ว ไปไขมันมีขนาดโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ นอกจากนั้นไขมันยังจัดเป็นสารประกอบที่สามารถละลาย ได้ดีในตัวทำละลายที่เป็นสารอินทรีย์ (ไม่มีขั้ว) เช่น อีเทอร์ เบนซิน คลอโรฟอร์ม และเอทานอล
ไขมัน แบ่งตามโครงสร้างได้ 3 ชนิด ได้แก่ ไขมันเชิงเดียว ไขมันเชิงซ้อน และอนุพันธ์ของไขมัน
1. ไขมันเชิงเดี่ยวหรือไขมันธรรมดา (Simple lipid) ประกอบด้วยโมเลกุลของแอลกอฮอล์ที่เรียกว่า 
กลีเซอรอล (Glycerol)
 และกรดไขมัน (Fatty acid) เช่น ไขมัน น้ำมัน และไขแต่ไขมันที่พบมากที่สุดในพืชและสัตว์จะอยู่ในรูป Triglyceride
ภาพแสดงโครงสร้างสามมิติของโมเลกุลไขมันเชิงเดี่ยว
 การจำแนกกรดไขมัน
1. จำแนกตามความจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต
    - กรดไขมันที่จำเป็น (Essential fatty acid) คือ กรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จำเป็นที่จะต้องได้รับจากการบริโภค
    - กรดไขมันที่ไม่จำเป็น (Non-essential fatty) คือ กรดไขมันที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้
2. จำแนกตามโครงสร้าง
    - กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) มีคาร์บอนทุกอะตอมต่อกันด้วยพันธะเดี่ยว ส่วนมากได้มาจากไขมันจากสัตว์ และน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เป็นต้น
    - กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) มีบางพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนเป็นพันธะคู่ เป็นไขมันที่ได้มาจากน้ำมันพืช เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันจากเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น
 สรุปประเภทของกรดไขมัน
กรดไขมันกรดไขมันไม่อิ่ม ตัวกรดไขมันอิ่มตัว
ลักษณะมีพันธะคู่มีเพียงพันธะเดี่ยว
รูปร่างโค้งงอตรงตำแหน่งของพันธะคู่เส้นตรง
เมื่อมีจำนวน C เท่ากันจุดเดือด จุดหลอมเหลวต่ำกว่าจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูงกว่า
สถานะของเหลว เหม็นหืนง่ายของแข็งเหม็นหืนยาก
ความสำคญัลดระดับไขมันเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
แหล่งที่พบน้ำมันพืช ยกเว้น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวไขมัน สัตว์เนย เนยเทียม
 ข้อควรทราบ:
1. ไขมันจากสัตว์ พบกรดไขมันอิ่ม ตัว มากกว่า ไม่อิ่มตัว และพบ Cholesterol สูง
2. ไขมันจากพืช พบกรดไขมันไม่อิ่มตัว มากกว่า อิ่มตัว และไม่พบ Cholesterol
3. อาหารที่พบ Cholesterol สูงคือ  มัน สมองสัตว์ > ไข่แดง > ตับวัว > ตับหมู > เนย
4. อาหารที่ไม่พบ Cholesterol คือ ไข่ขาว มาการีน และน้ำมันพืช
2. ไขมันเชิงซ้อนหรือไขมันประกอบ (Complex or compound lipid)คือ ไขมันที่รวมอยู่กับสารอื่น เช่น
2.1 ไกลโคลิพิด (Glycolipid = Glyco + Lipid) คือ ไขมัน (Lipid) ที่รวมอยู่กับคาร์โบไฮเดรต (Glyco) พบทั่วไปในเซลล์พืช เยื่อไมอีลิน (Myelin sheath) ที่เป็นปลอกหุ้มแอกซอนของเซลล์ประสาท
2.2 ลิโพโปรตีน (Lipoprotein= Lipo + Protein) คือ ไขมัน(Lipid) ที่รวมอยู่กับโปรตีน (Protein) ทำหน้าที่ขนส่งไขมันที่ย่อยแล้วตามหลอดเลือดดำเข้าสู่ตับหรือออกจากตับไปสู่เซลล์
2.3 ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid = Phospho + lipid) คือไขมัน (Lipid) ที่รวมอยู่กับสารประกอบฟอสเฟต (Phosphate) เช่น เลซิทิน (Lecithin) ในไข่แดง นมสด น้ำมันพืช ตับ เซฟาลิน (Cephalin) ที่เนื้อเยื่อสมองเซลล์ประสาทฟอสโฟลิพิดที่เยื้อหุ้มเซลล์
3. อนุพันธ์ของไขมัน (Derived lipid) เป็นไขมันที่มีโครงสร้างแตกต่างจากไขมันเชิงเดี่ยวและไขมันเชิงซ้อน เช่น บีตาแคโรทีน คอเลสเตอรอล วิตามิน D พรอสตาแกรนดินที่เป็นส่วนประกอบของสเปิร์ม เป็นต้น
 ประโยชน์ของไขมัน
1. เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย
2. ช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ไม่ละลายน้ำ (A D E K)
3. ให้ความอบอุ่นต่อร่างกายและเป็นแหล่งพลังงานสำรอง
4. เป็นฉนวนป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายในและเป็นฮอร์โมนเพศ
 การทดสอบไขมัน
การทดสอบไขมันสามารถทดสอบได้ 2 วิธี โดยอาศัยสมบัติทางกายภาพ และทางเคมีของไขมัน ได้แก่
1. การทดสอบโดยใช้คุณสมบัติทางกายภาพ คือ การทดสอบโดยการนำน้ำมันหยดลงบนกระดาษขาวไขมันจะทำให้เกิดภาวะโปร่งแสง เนื่องจากไขมันเข้าไปแทนที่โมเลกุลของอากาศที่แทรกตัวอยู่ในเนื้อกระดาษ และไขมันมีดัชนีหักเหของแสงน้อยกว่าอากาศ จึงทำให้เกิดภาวะโปร่งแสงขึ้น
2. การทดสอบโดยใช้คุณสมบัติทางเคมี คือ การทดสอบโดยนำสารที่สงสัยว่าเป็นไขมันไปต้มในสารละลายด่าง เช่น NaOH จะได้สารประกอบชนิดใหม่ซึ่งมีลักษณะลื่นมือเหมือนด่างแต่มีฟองมาก เมื่อนำไปขยี้หรือตีในน้ำสารที่เกิดขึ้นใหม่ เรียกว่า สบู่ หรือ เรียกปฏิกิริยานี้ว่า Saponification

เอนไซม์

เอนไซม์        เอนไซม์ (enzyme) คือ สารเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีในเซลล์ หรือ ไบโอคะตะลิสต์ (biocatalyst) มีผลทำ ให้ปฏิกิริยาชีวเคมีเกิดขึ้นรวด...